ปีหนึ่งยาวนาน 365 วัน ก็ไม่แปลกที่มีอะไรเกิดขึ้นหลายอย่าง ปี 2560 ของฉันเองก็มีสีสันมาก โดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่ามันจะมีสีสันหลากหลายได้ขนาดนี้ แต่ถ้าจะคิดว่าแค่เป็นเรื่องบังเอิญหรือชะตากรรมที่ต้องเกิดอยู่แล้ว คิดให้ดีก็จะพบว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา มันเกิดขึ้นได้เพราะเรายอมให้มันเกิดทั้งนั้นแหละ
ประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่สุดที่เกิดขึ้นในปีนี้ คงไม่มีอะไรเกิน การพาตัวเองไปเรียนคอร์สครูโยคะ 200 ชั่วโมง กับครูโน้ต ที่ฉันตัดสินใจสมัครไปเพราะชีวิตที่เสียสมดุลของปีก่อน ซึ่งทุ่มเทเวลาและหมกมุ่นกับการซ้อมวิ่งมาราธอนแรกจนรู้สึกเครียด เข้าคลาสโยคะก็บ่อยนะ ใช้เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อจากการวิ่ง แต่ทำอาสนะซ้ำๆ บ่อยๆ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่านี่เราทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร โยคะนี่มีไว้ออกกำลังกายให้ผอม ให้เบิร์น หรือแค่ใช้ยืดเหยียดหลังออกกำลังกายเหรอ
ก่อนถึงวันวิ่งก็สมัครเรียนไป บอกครูไปแค่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับโยคะให้มากกว่าการทำท่า ไม่ได้คิดจะไปเป็นครูสอนใคร เพราะไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้ เลยไม่ชอบเซ้าซี้กับใครด้วย ครูก็อุตส่าห์รับให้เรียน แล้วก็ค่อยๆ ขัดเกลาด้วยความเมตตา ครูโน้ตและทีมครูสอนอะไรบางอย่างให้กับฉันและเพื่อนร่วมรุ่นในเวลา 10 สัปดาห์ของการเรียน แล้วเราก็ออกมาเรียนต่อนอกห้องอีกนับชั่วโมงไม่ถ้วน จนในวันหนึ่ง เราพบว่ามีอะไรบางอย่างในตัว-ในใจที่เปลี่ยนรูปไปใหม่ แต่แม้ว่าเราแต่ละคนจะรับใบประกาศเรียบร้อย จบอย่างเป็นทางการ แต่ฉันยอมรับว่าพูดได้ไม่เต็มปากหรอก ว่าเรียนจบแล้ว มันยังมีอีกมากให้เรียนรู้
ด้วยความอยากรู้มากขึ้น นอกจากคอร์สครู ปีนี้ฉันพาตัวเองไปเรียนโยคะในมิติที่แตกต่างออกไป กับการเรียนอาสนะหลายเวิร์กชอป ทั้งสายโหดและสายวิชาการ รวมทั้งหยินโยคะ และปราณายมะ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วทำให้ฉันค้นพบอะไรบางอย่างที่ไม่เคยมองเห็นหรือสัมผัสได้มาก่อน ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ฉันว่าฉันจะเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ ในเส้นทางโยคะนี่แหละ
เออ อย่าเพิ่งถามนะ ว่าแล้วนี่เป็นโยคีหรือเปล่า เป็นโยคีคือทำตัวแบบนี้หรอ เป็นโยคีทำไมไม่อัพรูปทำโยคะท่ากลับหัว ฯลฯ ให้มองว่าฉันเป็นมนุษย์ (เหมือนเธอ) ที่มีความสงสัย และพยายามหาคำตอบให้กับตัวเอง ถ้าเดาว่าเดินไปทางนี้แล้วจะเจอคำตอบ ฉันก็จะเดินไปเรื่อยๆ อย่างนี้ละกัน
เออ ขอพูดอีกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการการเรียนรู้ครั้งนี้ โยคะคงสอนให้ฉันรู้จักตัวเอง ฉันจึงมีเมตตาต่อตัวเอง และนั่นจึงทำให้ฉันมีเมตตาต่อคนอื่นมากขึ้น ปีนี้ฉันเริ่มสอนโยคะ ตอนแรกเพื่อเก็บชั่วโมงส่งครู แต่พอเจอนักเรียนคนแรก มันกลายเป็นว่า ฉันอยากจะไกด์ให้เขารู้จักตัวเองให้มากขึ้น จะได้มีความเมตตาต่อตนเองมากขึ้น และรู้ว่าควรจะทำอะไรให้ตัวเอง หรือควรจะหลีกเลี่ยงอะไร เพื่อตัวเอง และเพื่อคนรอบๆ ตัวของเขา การสอนของฉันตอนแรกๆ ก็อู้ฟู่ดี นักเรียนเยอะ นัดกันคึกคัก แล้วก็ค่อยๆ ซาลงในเดือนที่ฉันมีธุระยุ่ง พอมาถึงปลายปี ฉันเหลือนักเรียนที่ยังเรียนเป็นประจำแค่ 2 คน แต่ฉันว่าแค่นี้ก็คุ้มกับเวลาที่ใช้ไปมากแล้ว นักเรียนรู้จักตัวเองมากขึ้น ตระหนักต่อความแตกต่างของร่างกายตัวเองและคนอื่น และมีความตั้งใจอยากจะดูแลตัวเองให้ดีขึ้น ทั้งในแง่กายภาพ และในแง่จิตใจ ที่สำคัญ ตลอดทั้งปี ฉันสอนฟรีโดยไม่มีค่าตอบแทน ถือเป็นการแบ่งปันตามที่ตั้งใจไว้ บอกครูไว้ในใจ แล้วทำได้จริง ฉันภูมิใจ
การพาตัวเองไปถึงยอดคินาบาลู เป็นอีกเรื่องที่ตลอด 42 ปีของการมีชีวิตไม่เคยนึกถึงมาก่อน จะพาตัวเองขึ้นยอดภูกระดึงยังไม่เคยเลย นี่จะไปถึงคินาบาลู คือมันเป็นเรื่องตกกระไดพลอนโจน เพื่อนมาชวน แล้วฉันก็ตอบรับไป ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าการขึ้นไปถึงมันยากลำบาก ต้องใช้เรี่ยวแรงขนาดไหน เขามีแผนการเตรียมตัวเตรียมร่างกายให้พร้อม ฉันก็ไม่ได้ทำตามแผน อ้างว่ายุ่งกับเรื่องอื่น แต่ก็เตรียมพร้อมด้านอุปกรณ์ และพาตัวเองขึ้นไป-ลงมาได้ ไม่มีปัญหาอะไรนอกจากใช้เวลานาน
ฉันมองเห็นการขึ้นคินาบาลูเป็นเรื่องของอีโก้และความต้องการพิชิตของมนุษย์ แต่การขึ้นคินาบาลูก็ทำให้ฉันได้เห็นอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ในแง่ของภูมิประเทศ และอากาศ เส้นทางที่ยากเข็ญสอนฉันให้ใจเย็นและอดทน ให้ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับร่างกาย และได้เห็นความกลัวของตัวเอง เห็นแบบ ไม่ได้กลัว แต่แค่มองเห็นความกลัว ที่สำคัญคือมันทำให้รู้ว่าเรามีพลังจะไปถึงนะ แต่ต้องค่อยๆ ไป กระนั้นเมื่อกลับมาฉันก็ป่วยเลย เป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหลไอ มาครบ ไม่รู้เพราะพายุฝนป่าร้อนชื้นที่เดินตากอยู่หลายชั่วโมงตอนขาลง หรือเพราะพลังหมด
การพาตัวเองไปวิ่งโอซาก้ามาราธอน จนจบ ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่คิดว่าจะทำได้ แต่ทำได้ คือปีนี้ทั้งปีวุ่นวายมากจนแผนซ้อมรวนไปหมด ซ้อมน้อยจนควรเรียกว่าไม่ได้ซ้อม เลยคิดว่าไปเที่ยวดูใบไม้แดงแล้วก็ไปวิ่งให้สนุก แต่จะด้วยอากาศเย็น หรืออึด หรืออะไรก็ตามฉันก็พาตัวเองถึงเส้นชัยในก่อนคัทออฟ โดยไม่บาดเจ็บ แล้วอีกสองวันก็เป็นหวัดเหมือนตอนลงจากคินาบาลูเลย ครั้งนี้เป็นมาราธอนที่สอง ที่สอนฉันหลายอย่างเช่นกัน ลองไปอ่านดูจากเรื่องที่เคยเขียนนะ
ปีนี้เป็นปีที่วิ่งน้อย ลงรายการวิ่งก็น้อย กระนั้นก็มีระยะฮาล์ฟมาราธอน 2 หน คือจอมบึงเมื่อต้นปี เชียงใหม่มาราธอนในเดือนถัดมา เทรลรันนิ่งในระยะฮาล์ฟมาราธอนให้สนุกสนานกัน 2 หน คือเขาประทับช้างในเดือนมิถุนายน และโป่งแยง ต้นเดือนพฤศจิกายน วิ่งระยะ 10 กับ 5 กิโลบ้าง ประปราย ปลายปี คือก่อนปีใหม่ เริ่มกลับมาวิ่งกับรองเท้า VFF อีกหน อยากเทรนตัวเองให้วิ่งได้ไกลกับ VFF ตั้งใจจะให้เป็นการซ้อมวิ่งโซน 2 ไปพร้อมกันเลย ก็เริ่มวิ่งบนดาดฟ้าที่ทำงาน วิ่งวนไปมา ให้นานเท่ากับที่ตั้งใจ ครั้งแรกได้ 45 นาที อีกสองวันต่อมาได้ 60 นาที พอเริ่มอาทิตย์ใหม่ ฉันต้องขึ้นไปวิ่งบนเทรดมิลล์เพราะฝนตก ปรากฏวิ่งไปได้ 20 นาที เกิดปวดแปล๊บขึ้นมาที่หลังเท้าขวา โอว.. การบาดเจ็บจากการวิ่งเป็นแบบนี้สินะ
3 วันหลังจากปวดแปล๊บบนเทรดมิลล์ ฉันยังเดินเหมือนคนพิการ ไม่มีอาการบาดเจ็บในสนามวิ่งมาตลอดปี แต่มาเจ็บบนเทรดมิลล์ ได้เรียนรู้อีกแล้ว จะวิ่งกับรองเท้า VFF ต้องใจเย็น ค่อยๆ เทรน รอให้ร่างกายพร้อม ต้องยืดให้พอ แล้วก็ต้องเมตตาตัวเองให้มาก มากกว่าที่เราคิดว่าเมตตาแล้ว และแม้จะมีฮาล์ฟมาราธอนรออยู่ในอีก 3 อาทิตย์ แต่ตอนนี้ต้องพักจริงๆ แล้ว
ก็เป็นปีที่สนุกดี สนุก และได้เรียนรู้
คงต้องขอบคุณตัวเองมั้ง ที่เปิดรับเรื่องพวกนี้ และยอมให้ทุกประสบการณ์มันเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เรื่อยๆ อย่างนี้หรอก