a Whole New World

มาตรฐาน

image

ชีวิตนี้มีโอกาสได้เห็นโลกมาไม่เยอะ แต่นับได้ว่าไม่น้อย กระนั้นฉันยังไม่เคยเห็นโลกจากมุมที่ได้เห็นจากบนอานจักรยาน

ขณะที่เราปั่นไป โดยไม่ใส่สมาธิเครียดเค้นความเร็วออกมามากนัก ใจจะว่างพอบันทึุกพื้นที่รอบตัวที่ผ่าน เห็นถนนข้างหน้า ทั้งใกล้และไกล เห็นความชันและแคบของสะพานที่แตกต่างกัน สินค้าในตลาดข้างทาง พฤติกรรมและมารยาทของผู้คนที่มาจับจ่าย เห็นว่ามีหมาผอมแห้งกี่ตัวที่นอนอยู่ริมทาง เห็นต้นไม้บางต้นมีรูปทรงแปลกตา บางต้นออกดอกและผลงดงามชวนตะลึง บางต้นเหมือนออกมาจากจินตนาการสยอง เห็นบึง เล็ก ใหญ่ คลอง นาเกลือ เรือในน้ำ คนตกปลา (ปลาอะไร ลองส่งเสียงถามดูก็ได้คำตอบ) อุปกรณ์หาปลาที่แสนจะสงสัยว่าเรียกอะไร ใช้จับปลาอะไร อย่างไร เห็นนกในท้องทุ่ง บ้างอยู่รวมเป็นฝูง บ้างบินเดี่ยว บ้างบินมาเตือนถึงฤดูกาลที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง และแน่นอนที่สุด ท้องฟ้า ที่สุดแต่โชคชะตาว่าวันนั้นจะได้เห็นเมฆทรงไหน และเฉดไหนของสีฟ้า

หากเราปั่นไปโดยไม่เสียบหูฟังเพลง หูย่อมเปิดรับสรรพเสียงรอบตัว เสียงหายใจเข้าออกที่แสนลึกและยาวของตัวเอง เสียงโซ่ เกียร์ บังโคลนอะลูมิเนียมกระเทือน เสียงยางรถของเราเองบดถนน เสียงจากรถเพื่อนที่ปั่นนำหน้า และปั่นตามหลัง แค่ฟังก็แทบไม่ต้องหันกลับไปดูว่าเพื่อนยังตามมาอยู่ดีไหม และเมื่อมีใครสักคนดีดกระดิ่ง เราจะรู้ได้ว่าเราอยากได้กระดิ่งแบบเขาบ้าง หรือเราไม่อยากให้เขาดีดกระดิ่งอีกต่อไป บางที เราจะมีโอกาสได้ยินเสียงร้องตลกๆ ของนกที่ไม่รู้จักชื่อ แต่ทำให้เรามีเรื่องกลับไปโม้กับเพื่อนรู้เรื่องนกซึ่งไม่ได้มาด้วยกัน

กลิ่นเป็นอีกมิติที่จะเติมเต็มโลกใบใหม่บนอานจักรยานให้สมจริง กลิ่นจากคนที่นำหน้า กลิ่นของคนที่สวนมา กลิ่นอาหารบรจุดสูงสุดของสะพานโค้งข้ามคลอง ที่เตือนเราเบาๆ ว่าความหิวกำลังรอคอยการเติมเต็ม ที่น่าประทับใจที่สุดคือกลิ่นของสถานที่ สถานที่มีกลิ่นเฉพาะตัวจริงๆ นะเออ จะเป็นกลิ่นตลาด กลิ่นประตูสวนสาธารณะ (ประตูราชาวดีของสวนหลวง ร.๙) หรือกลิ่นร้านดอกไม้หน้า Villa Market แถวๆ เอ็มโพเรียม หรืออย่างย่านบางขุนเทียนที่ฉันไปปั่นเที่ยวเมื่อวานนี้ กลิ่นแถวนั้นย่อมไม่หอม แต่ไม่เหม็น เป็นกลิ่นเกลือ อาจจะปนคาวจากน้ำทะเลที่ปนกับน้ำจืด กลายเป็นน้ำกร่อย ท้นเข้ามาในคลองตอนน้ำขึ้น บางแห่งมีกลิ่นที่เข้มข้นกว่าร้านขายปลา แถบๆ ป่าโกงกางริมคลองมีกลิ่นต่างออกไป เป็นกลิ่นของความชื้น ที่สด สะอาด ความรู้สึกบอกว่าเป็นกลิ่นอากาศที่ดีกับปอดมากกว่าในพื้นที่โล่งที่มีกลิ่นคาวทะเลโชยไปกับลม

และไม่ว่าเราจะปกป้องตัวเองจากแสงแดดเพียงไหน เราจะยังได้สัมผัสถึงอุณหภูมิและสายที่อาจต้านปะทะหรือและส่งให้เราไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น แถบบางขุนเทียนมีลม ไม่อาจบอกได้ว่าแรงแค่ไหน คนเมืองโง่ๆ อย่างฉันถ้าไม่ได้สังเกตทิศทางของยอดไม้ คงจะไม่รู้ด้วยว่าลมมาจากทางไหน เป็นลมที่คนปั่นจักรยานซึ่งมีกำลังขาเท่าฉันไม่อาจทัดทาน จำต้องปั่นต้านไปอย่างยอมรับชะตากรรม ฝนเม็ดเล็กที่โปรยลงมาปะทะเมื่อตอนเริ่มต้นทริปบอกให้เรารู้ว่าความเย็นฉ่ำคืออะไร แน่นอน แสงอาทิตย์ที่ฉายลงมาต่อจากนั้นก็บอกเหมือนกันว่านี่คือความอบอุ่น ความร้อน และความแผดเผา เพื่อที่เราจะได้รับรู้คุณค่าของความพยายามประคับประคองตัวเองกลับมานั่งพักใต้ไม้ใหญ่ในป่าโกงกางของร้านกาแฟ ที่เป็นเหมือนอีเดนน้อยๆ ที่รออยู่ ณ ปลายทางของการปั่น

โลกใบเดียวกันนี้อาจเป็นโลกที่ครั้งหนึ่งฉันเคยผ่านมาแล้ว เคยเห็นแล้ว แต่เมื่อมาถึงอีกครั้งด้วยจักรยาน โลกทั้งโลกก็กลายเป็นโลกใบใหม่
เปี่ยมเสน่ห์แปลกตา น่าแปลกใจจริงๆ

หมายเหตุ: ขออุทิศบทนี้ให้ Croco แม้การปั่นเธอจะหนักแสนหนัก แต่ขอบคุณที่พาไปพบ a Whole New World (เอ๊ะ หรือควรเปรียบเธอเป็น Aladdin?) นี่อาจเป็นครั้งเดียวที่เราได้ใกล้ชิดกันถึง 38.5 กม. แต่ฉันจะไม่ลืมความรู้สึกตอนที่ลงทางเบี่ยงไปกับเธอ มันสนุกมาก (โดยไม่ต้องยกก้นออกจากอาน) ♥

ใส่ความเห็น